วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แนะนำตัว

แนะนำตัวค่ะ

ชื่อ นางสาวอัญชรี  ญาติคำ
ชื่อเล่น ด้า
ที่อยู่ อำเภอเมืองบึงกาฬ  จังหวัดบึงกาฬ
จบจาก โรงเรียนบึงกาฬ
ปัจจุบันศึกษาที่ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร
สาขาคณิตศาสตร์ หมู่ 1 ชั้นปีที่ 4

การติดตามบทความใหม่ในยุคเว็บ 2.0
จีราพรรณ สวัสดิพงษ์
บรรณารักษ์เชี่ยวชาญ
9
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยชียงใหม่
บทนำ
ย้อนไปสิบกว่าปีที่ผ่านมา ท่านนักวิชาการ นักวิจัยทั้งหลายที่เป็นหนอนหนังสือ และใช้บริการของห้องสมุดเป็นประจำ จะต้องมาที่ห้องสมุดเพื่อติดตามบทความ ข่าวสารใหม่ ๆ ที่ทันสมัยตลอดเวลา หรือบางห้องสมุดอาจจะจัดบริการ
ปัจจุบันเป็นยุคทองของสารสนเทศ การส่งข่าวสาร ข้อมูลจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการส่งข้อมูลให้ผู้ใช้ ผู้บริโภคจะได้รับข่าวสารที่เที่ยงตรง แม่นยำ และฉับไวทันท่วงที ดังจะเห็นได้จากการบอกรับข่าวต่าง ๆ จากหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ข่าวใหม่ ๆ ในแต่ละวันก็จะส่งตรงถึงมือเราผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างง่ายดาย การติดตามบทความวิจัยใหม่ ๆ ก็เช่นเดียวกันเป็นการง่ายนิดเดียวที่ท่านจะติดตามบทความใหม่ ๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาที่ห้องสมุด หรือเข้าไปสืบค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีมากมาย เพียงแต่ท่านบอกรับการบริการ
Current Content ส่งหน้าสารบัญวารสารฉบับใหม่ให้กลุ่มนักวิจัย อาจารย์ที่สมัครบอกรับบริการ หากต้องการอ่านฉบับเต็ม จะต้องมาใช้บริการที่ห้องสมุด ซึง ณ เวลานั้น ก็ถือว่าเป็นบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้เป็นอย่างมากแล้ว Alert จากฐานข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ที่ท่านต้องการ โดยผ่านโปรแกรม Feed Reader ท่านก็จะสามารถอ่านบทความใหม่ ๆ ได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมง หรือบอกรับบริการส่งข้อมูลผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ก็สะดวกสำหรับบางท่านที่ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว
ทำความรู้จักบริการ
Alert Alert
นข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์ มีการให้บริการ Alert 3 ประเภท ได้แก่ บริการแจ้งรายชื่อบทความใหม่ในหัวข้อที่ผู้ใช้สนใจ (Search Alert) บริการแจ้งรายชื่อบทความในวารสารฉบับใหม่ชื่อที่สนใจ (Issue Alert) และบริการแจ้งรายชื่อบทความใหม่ที่อ้างอิงบทความที่ผู้ใช้สนใจ (Citation Alert) ซึ่งบริการประเภทนี้เหมาะสำหรับนักวิชาการที่ต้องการติดตามผลงานของตนว่ามีใครนำไปอ้างอิงบ้าง Alert ทั้ง 3 ประเภท ผู้ใช้สามารถบอกรับบริการได้ด้วยตนเอง ได้รับข้อมูลโดยตรงอย่างสะดวก และรวดเร็ว มีทั้งให้บริการแจ้งข้อมูลทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ และทางโปรแกรม RSS Feed Reader
วิธีการใช้บริการ
Alert
ปัจจุบันฐานข้อมูลทางด้านวิชาการต่าง ๆ ได้ให้บริการ
Alert แก่ผู้ใช้บริการ ผู้ใช้เพียงสมัครสมาชิกกับฐานข้อมูล และระบุประเภท และหัวข้อ หรือชื่อวารสารที่ต้องการเท่านั้น ตัวอย่างรายชื่อฐานข้อมูลที่ให้บริการ เช่น ScienceDirect, Scopus วิธีการหรือขั้นตอนการใช้บริการในแต่ละฐานข้อมูลมีความใกล้เคียง หรือคล้ายคลึงกัน ดังนั้นบทความบทนี้จะขอแนะนำขั้นตอนการบอกรับบริการเฉพาะในฐานข้อมูล ScienceDirect เท่านั้น ซึ่งมีวิธีการ หรือขั้นตอนการบอกรับบริการ ดังนี้
1.
2.
เข้าใช้ฐานข้อมูล ScienceDirect ที่ http://sciencedirect.com สืบค้นข้อมูลที่ต้องการด้วยทางเลือก Search ซึ่งเป็นการค้นด้วยคำสำคัญ เช่น Author Journal title Subject Keyword เป็นต้น การค้นด้วยทางเลือกนี้ ใช้เมื่อต้องการบอกรับบริการ Search Alert และ Citation Alert ส่วนการสืบค้นด้วยทางเลือก Browse เป็นการค้นด้วยการไล่เรียงตามตัวอักษรของชื่อวารสาร หรือการไล่เรียงตามสาขาวิชาของวารสาร ใช้เมื่อต้องการบอกรับบริการ Issue Alert วิธีการสืบค้นมีดังนี้
2.1.
การบอกรับบริการ Search Alert via e-mail เป็นการขอรับบทความใหม่ในฐานข้อมูล ScienceDirect ในหัวข้อที่สนใจ ส่งทาง e-mail ซึ่งมีขั้นตอนการบอกรับบริการดังนี้
2.1.1.
2.1.2.
2.1.3.
2.1.4.
ให้ค้นข้อมูลด้วยทางเลือก Search เมื่อได้ผลลัพธ์การสืบค้น ให้คลิกที่ Save as search Alert ระบบจะสอบถาม Username และ Password ของท่านที่ลงทะเบียนสมาชิกกับฐานข้อมูล กรณีที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนสมาชิก ให้ลงทะเบียนโดยคลิกที่ Register Now ระบุหัวข้อเรื่อง Alert และเลือกความถี่ในการรับ Alert ได้แก่ Monthly , Weekly, Daily, Inactive
2.
สืบค้นข้อมูลที่ต้องการด้วยทางเลือก Search ซึ่งเป็นการค้นด้วยคำสำคัญ เช่น Author Journal title Subject Keyword เป็นต้น การค้นด้วยทางเลือกนี้ ใช้เมื่อต้องการบอกรับบริการ Search Alert และ Citation Alert ส่วนการสืบค้นด้วยทางเลือก Browse เป็นการค้นด้วยการไล่เรียงตามตัวอักษรของชื่อวารสาร หรือการไล่เรียงตามสาขาวิชาของวารสาร ใช้เมื่อต้องการบอกรับบริการ Issue Alert วิธีการสืบค้นมีดังนี้
2.1.
การบอกรับบริการ Search Alert via e-mail เป็นการขอรับบทความใหม่ในฐานข้อมูล ScienceDirect ในหัวข้อที่สนใจ ส่งทาง e-mail ซึ่งมีขั้นตอนการบอกรับบริการดังนี้
2.1.1.
2.1.2.
2.1.3.
2.1.4.
2.2.
การบอกรับบริการ Search Alert via RSS Feed เป็นการขอรับบทความใหม่ในฐานข้อมูล ScienceDirect ในหัวข้อที่สนใจ ส่งทางโปรแกรม RSS FeedReader ซึ่งมีขั้นตอนการบอกรับบริการดังนี้
2.2.1.
2.2.2.
2.2.3.
2.2.4.
2.2.5.
ให้ค้นข้อมูลด้วยทางเลือก Search เมื่อได้ผลลัพธ์การสืบค้น ให้คลิกที่ RSS Feed จะปรากฏ URL ของการ Search Feed ให้ Copy URL Search Feed เปิดโปรแกรม RSS FeedReader และวาง URL Search Feed ลงในช่อง Add Feed คลิก OK จะปรากฏหน้าข้อมูลที่บอกรับ Search Feed ค้นข้อมูลด้วยทางเลือก Search เมื่อได้ผลลัพธ์การสืบค้น ให้คลิกที่ RSS Feed
2.2.1.
2.2.2.
2.3.
การบอกรับบริการ Citation Alert via e-mail เป็นบริการแจ้งรายชื่อบทความใหม่ที่อ้างอิงบทความที่ผู้ใช้สนใจ (Citation Alert) ส่งทาง e-mail ซึ่งบริการประเภทนี้เหมาะสำหรับนักวิชาการที่ต้องการติดตามผลงานของตนว่ามีใครนำไปอ้างอิงบ้าง ซึ่งมีขั้นตอนการบอกรับบริการดังนี้
2.3.1.
ให้ค้นข้อมูลด้วยทางเลือก Search โดยค้นจากชื่อผู้แต่ง หรือชื่อบทความที่ต้องการ
2.3.2.
เมื่อได้ผลลัพธ์การสืบค้น ให้คลิกที่ ชื่อบทความที่ต้องการ
2.3.3.
จะปรากฏรายละเอียดทางบรรณานุกรมและบทคัดย่อ ให้คลิก Cited by เพื่อตรวจสอบว่ามีการอ้างอิงบทความนี้หรือไม่
2.3.4.
2.3.5.
2.3.6.
2.4.
ที่ผ
นว่ามีใครนำไปอ้างอิงบ้าง ซึ่งมีขั้นตอนการบอกรับบริการดังนี้
2
ระบบจะแจ้งให้ทราบว่าบทความดังกล่าวมีบทความอื่นอ้างหรือไม่ และมีกี่รายการ ให้คลิกทื่ Save as Citation Alert ระบบจะสอบถาม Username และ Password ของท่านที่ลงทะเบียนสมาชิกกับฐานข้อมูล กรณีที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนสมาชิก ให้ลงทะเบียนโดยคลิกที่ Register Now ระบุหัวข้อเรื่อง Alert และเลือกความถี่ในการรับ Alert ได้แก่ การบอกรับบริการ Citation Alert via RSS Feed เป็นบริการแจ้งราย
2.4.1.
ให้ค้นข้อมูลด้วยทางเลือก Search โดยค้นจากชื่อผู้แต่ง หรือชื่อบทความที่ต้องการ เมื่อได้ผลลัพธ์การสืบค้น ให้คลิ
2.4.3.
จะปรากฏรายละเอียดทางบรรณานุกรมและบทคัดย่อ ให้คลิก Cited by เพื่อตรวจสอบวมีการอ้างอิงบทคว
2.4.4.
คลิกทื่
2.4.6.
ระบบจะแจ้งให้ทราบว่าบทความดังกล่าวมีบทความอื่นอ้างหรือไม่ RSS Feed จะปรากฏ URL ของการ Searchเปิดโปรแกรม RSS FeedReader และวาง URL Sea

8 Monthly , Weekly, Daily, Inactive
ให้ค้นข้อมูลด้วยทางเลือก Search เมื่อได้ผลลัพธ์การสืบค้น ให้คลิกที่ Save as search Alert ระบบจะสอบถาม Username และ Password ของท่านที่ลงทะเบียนสมาชิกกับฐานข้อมูล กรณีที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนสมาชิก ให้ลงทะเบียนโดยคลิกที่ Register Now ระบุหัวข้อเรื่อง Alert และเลือกความถี่ในการรับ Alert ได้แก่ Monthly , Weekly, Daily, Inactive
เป็นบริการแจ้งข้อมูลข่าว บทความใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้บริการ ฐานข้อมูลวิชาการต่าง ๆโดยเฉพาะฐาน

รมว.ศธ.ขออย่าตระหนกโรคมือเท้าปากในร.ร.

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึง สถานการณ์โรคมือ เท้า ปาก ที่ระบาดตามโรงเรียนต่าง ๆ อยู่ในขณะนี้ว่า สถานกาณ์ยังไม่รุนแรงเท่ากับปีที่ผ่าน ๆ มา  ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว จึงขอให้คลายกังวลได้ ส่วนกรณีที่อาจมีสถานศึกษาบางแห่งปกปิดข้อมูลว่า มีนักเรียนป่วยเป็นโรคดังกล่าวนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง แต่ก็ขอความร่วมมือให้ผู้อำนวยการแต่ละโรงเรียน เฝ้าสังเกตอาการของนักเรียนอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากพบความผิดปกติ ก็สามารถปิดโรงเรียนได้ทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคด้าน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า นักเรียนที่ป่วยโรคมือเท้าปาก ล่าสุด มี 43 คน ซึ่งหายป่วยหมดแล้ว แต่ย้ำว่า ขอให้แต่ละโรงเรียนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมฟังคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากโรคมือเท้าปาก
อ้างอิง
http://news.sanook.com/1130810

ศึกษาเทคโนโลยีการพัฒนาเว็บ 2.0

ศึกษาเทคโนโลยีการพัฒนาเว็บ 2.0

บทคัดย่อ

 เว็บ 2.0 เป็นเทคโนโลยีที่มีขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้ในโลกอินเทอร์เน็ตยุคปัจจุบัน โดยมีการพัฒนาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการส่งผ่านข้อมูล ความสามารถในการใช้ข้อมูลร่วมกันเป็นสังคมออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้สามารถที่จะทำการเขียน Blog แชร์รูป ร่วมเรียน Wiki โพสต์ความเห็นลงในท้ายข่าว หาแหล่งข้อมูลด้วย RSS เพื่อ Feed มาอ่านที่หน้าจอ และกูเกิ้ล  ซึ่งเว็บ 2.0  ส่วนหนึ่งผู้ใช้จะเป็นผู้ร่วมสร้างเนื้อหาและประสบการณ์ใหม่ในการใช้งานเว็บไซต์ และทำให้ผู้ใช้รู้จักแนวคิดของ Blog เพื่อที่จะนำมาพัฒนาการแบ่งปันความรู้ในองค์กรได้เป็นอย่างดี

Abstract

 Web 2.0 is created technology that can serve the convenience for internet user today. It has various kinds of developments such as the speed in data transfer, the ability to share information on internet online society etc. Moreover the users are able to write Blog picture sharing, learning in Wiki, posting their opinion at bottom of news,  finding data source with RSS to feed on monitor for reading and Google . Moreover Web 2.0, a part of it, user will coordinately create content and new experience for website usage, which makes the user know the concept of Blog and bring it to share knowledge for well development in the organization.

1. บทนำเว็บ 2.0 เป็นคำที่หลายต่อหลายคนในวงการอินเทอร์เน็ต และอีคอมเมิร์ซพูดถึงอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีประเด็นคำถามกันอยู่ ซึ่งบางกลุ่มมองว่าแนวคิดเรื่องเว็บ 2.0 เป็นเพียงแค่แฟชั่น ไม่มีสาระสำคัญต่อวงการอินเทอร์เน็ต และอีคอมเมิร์ซ แต่ในขณะที่อีกแนวคิดหนึ่งมองว่าเว็บ 2.0 เป็นการ ปฎิวัติทางแนวคิดและวิธีการสร้างรวมถึงบริการบนนั้น เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนถ่ายจากคอนเทนต์ที่เป็นสแตติกคอนเทนต์เข้าสู่ยุคของไดนามิกคอนเทนต์ ในวงการของกลุ่มนักพัฒนาเว็บไซต์ทั้งในและต่างประเทศเองยังคงกำลังหาคำตอบ และกำหนดว่าอะไรคือ เว็บ 2.0 และเว็บในแนวคิดดังกล่าวจะมีรูปร่างหน้าตาต่างไปจากเว็บในแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอย่างไร       แนวทางหนึ่งที่สามารถวางกรอบคร่าว ๆ ของเว็บ 2.0 คือ การกำหนดคุณลักษณะเด่นที่สำคัญของเว็บ 2.0 โดยในปีที่ผ่านมานี้เองที่เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจนในแวดวงของเว็บไซต์หลาย ๆ คนพยายามที่จะหาคำจำกัดความ บางคนบอกว่าต้องดูที่แพลตฟอร์ม บางแนวคิดก็ต้องดูที่โครงสร้างและจุดเริ่มต้นของการสร้างเว็บ หรือแนวคิดที่ให้พิจารณาที่ฟังก์ชั่นการใช้งานของผู้ใช้ปรับกระบวนทัศน์การมีส่วนร่วมของผู้ใช้เว็บไซต์
ปัจจุบัน วิถีทางในการใช้อินเทอร์เน็ตของชาวไซเบอร์เปลี่ยนไปจากเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมามาก เมื่อก่อนเรารู้จักที่จะใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อส่งอีเมล์ คุยกับเพื่อนด้วยแชตรูม หรือใช้โปรแกรมคุย บางครั้งอาจมีการดาวน์โหลดโปรแกรมใหม่  การหาข้อมูล การแลกเปลี่ยนความเห็นที่เว็บบอร์ด การอ่านข่าว ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือการใช้งานหลัก ๆ ที่เราใช้งาน
ปัจจุบันเราใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อ เขียนบล็อก การแชร์รูป ร่วมเขียน Wiki การโพสความเห็นลงในท้ายข่าว การหาแหล่งข้อมูลด้วย RSS เพื่อ Feed มาอ่านที่หน้าจอ และกูเกิ้ล จะเห็นได้ว่าวิธีการใช้ชีวิตบนอินเทอร์เน็ตของชาวออนไลน์เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตดังกล่าวสะท้อนการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นที่มาของเว็บ 2.0 หรือยุคใหม่ของ อินเทอร์เน็ตที่ได้เปลี่ยนการใช้งานของเราไปอย่างสิ้นเชิง
2. คุณลักษณะของเว็บ 2.0
หลังจากที่ดอตคอมในยุคนั้นได้ล่มสลายลงไป แนวคิดของการสร้างสรรค์ธุรกิจเว็บไซต์ และการออกแบบต่าง ๆ ได้มีพัฒนาการที่สำคัญเพิ่มขึ้นเช่น เรื่องความน่าสนใจของแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ รวมถึงวิธีการดำเนินธุรกิจออนไลน์ด้วยแนวทางใหม่ๆ จึงได้กำหนดคุณลักษณะของเว็บ 2.0 ดังนี้
2.1  ลักษณะเนื้อหามีการแบ่งส่วนบนหน้าเพจ เปลี่ยน    จากข้อมูลก้อนใหญ่มาเป็นก้อนเล็ก
 2.2  ผู้ใช้สามารถเข้ามาจัดการเนื้อหาบนหน้าเว็บได้และสามารถแบ่งปันเนื้อหาที่ผ่านการจัดการให้กับกลุ่มคนในโลกออนไลน์ได้ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของสังคมออนไลน์สังคมออนไลน์เกิดความเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น เกิดกิจกรรมบนนั้นมากขึ้น
2.3  เนื้อหาจะมีการจัดเรียง จัดกลุ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม
2.4 เกิดโมเดลทางธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจเว็บไซต์กลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล
2.5 การบริการ คือ เว็บที่มีลักษณะเด่นในการให้บริการหลาย ๆ เว็บไซต์ที่มีแนวทางเดียวกัน
3. ความเปลี่ยนแปลงของเว็บ 1.0 เป็นเว็บ 2.0ความจริงมันยังมีคำอีกมากมายที่กลายเป็นความหมายของเว็บ 2.0 นั่นคือ ถ้าเป็น เว็บ 1.0 จะเป็น Akamai แต่ถ้าเป็นเว็บ 2.0 จะกลายเป็น BitTorrent จาก mp3.com มาเป็น Napster จาก Britannica Online มาเป็น Wikipedia จาก personal websites มาเป็น blogging จาก evite มาเป็น upcoming.org and EVDB จาก domain name speculation มาเป็น search engine optimization จาก page views มาเป็น cost per click จาก screen scraping มาเป็น web services จาก publishing มาเป็น participation จาก content management systems มาเป็น wikis จาก directories        
( taxonomy ) มาเป็น tagging ( ”folksonomy” ) และจาก stickiness มาเป็น syndication ในที่สุด  ดังตารางที่ 1 ในการเปลี่ยนแปลงเบื้องต้นดังที่ได้กล่าวไว้ จะมีคำศัพท์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
Web1.0Web2.0
DoubleClickGoogle AdSense
OfotoFlickr
AkamaiBitTorrent
Mp3.comNapster
Britannica OnlineWikipedia
Personal websitesBlogging
Eviteupcoming.org and EVDB
Domain name speculationsearch engine optimization
Page viewscost per click
Screen scrapingweb services
PublishingParticipation
Content management systemsWikis
Directories (taxonomy)tagging (“folksonsmy”)
StickinessSyndication

ตารางที่ 1  ตารางเปรียบเทียบเว็บ 1.0 และ เว็บ 2.0
3.1 Google AdSenseกูเกิ้ล แอดเซ้นส์ คือระบบโฆษณาบนเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตเว็บไซต์ หรือเจ้าของเว็บไซต์ สามารถนำโฆษณาจจากระบบของ Google Adsense มาติดในเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มรายได้ให้เว็บไซต์ ซึ่งรูปแบบของโฆษณา ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบตัวอักษร ( Text )  บางทีอาจจะมีในรูปแบบแบนเนอร์ ( Banner ) ดังรูปที่ 1



รูปที่ 1 หน้าจอการใช้งาน Google AdSense
3.2 Flickrเป็นการอำนวยความสะดวกการใช้งานการอัพโหลดไฟล์ประเภทรูปถ่าย ซึ่งเราอาจดาวน์โหลดโปรแกรม มาติดตั้งในเครื่องของเรา หลังจากการติดตั้ง โปรแกรมจะขอให้มีการ Authorization สำหรับ Uploadr ให้ผู้ใช้แสดงความยินยอม และให้ทราบข้อควรปฏิบัติในการใช้งานโปรแกรม
3.3 BitTorrent  / NapsterBitTorrent เขียนขึ้นมาจากภาษา Python และเป็นตัวซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ใช้ใบอนุญาตแบบ MIT ( ต่างจากซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สทั่วไปที่ใช้ GPL แต่โดยรวม ๆ แล้วก็เป็นโอเพ่นซอร์สเหมือนกัน ) หลักการของ BitTorrent คือ ใช้ช่องสัญญาณฝั่งอัพโหลดที่ว่างอยู่ให้เกิดประโยชน์  โดยปกติแล้วการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายจะแบ่งช่องสัญญาณเป็นขาลง ( ดาวน์โหลด จากเครือข่ายมายังเครื่องผู้ใช้ ) และขาขึ้น ( อัพโหลด ใช้ในการส่งข้อมูลคืนไป ) สังเกตง่าย ๆ จากไฟของโมเด็มสองดวง คือ อัพโหลดและดาวน์โหลด สำหรับ BitTorrent แตกต่างกับการแชร์ไฟล์แบบ Napster ตรงที่ เราสามารถค้นหาตัวไฟล์ได้จากโปรแกรม Napster ได้โดยตรง เช่น พิมพ์ชื่อศิลปินหรืออัลบั้มไปเพื่อค้นหาเพลง MP3 ทำให้ละเมิดลิขสิทธิ์ได้สะดวก ส่วน BitTorrent เราต้องไปหาไฟล์ Torrent  ( นามสกุล .torrent ) ซึ่งเป็นไฟล์รายละเอียดการดาวน์โหลดมาจากเวบแบบปกติก่อน แล้วค่อยใช้โปรแกรม BitTorrent สั่งดาวน์โหลดอีกทีครั้ง จุดนี้ทำให้ควบคุมการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ง่ายขึ้น เพราะจัดการกับเว็บไซต์ต้นทางที่แจกไฟล์ Torrent เพียงแห่งเดียว ข้อดีนี้ของ BitTorrent ทำให้มีหลาย ๆ องค์กรแจกไฟล์ที่ถูกลิขสิทธิ์และเป็นทางการ ผ่านระบบ BitTorrent กันมากขึ้นในช่วงหลัง โดยเฉพาะผู้ผลิตลินิกซ์ค่ายต่าง ๆ ที่แจกไฟล์อิมเมจซีดีและดีวีดีของลินิกซ์เนื่องจากลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ไปได้มากนั่นเองโครงการ Fedora และ Mandrake แจกด้วย BitTorrent มาหลายรุ่นแล้ว
3.4 Wikipediaเป็นสารานุกรม ( Encyclopedia ) บนเว็บที่มีลักษณะเหมือนกับสารานุกรมทั่วๆ ไป คือรวมเอาความรู้ทุกสาขา
มาไว้รวมกัน สิ่งที่แตกต่างออกไปจากสารานุกรมอื่น ๆ ที่จ้างผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขามาเขียนเรื่องในสายงานของตัวเอง อย่างพวก Encarta หรือ Britanica คือ Wikipedia เขียนขึ้นมาด้วยแรงงานอาสาสมัครทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น สมมติว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านแมลง เมื่อเปิดไปหาข้อมูลเกี่ยวกับแมลงเต่าทองบน Wikipedia ปรากฎว่าชื่อทางวิทยาศาสตร์ของเต่าทองนั้นพิมพ์ตกไปตัวนึง ถ้าเป็นสารานุกรมทั่วไปผมต้องแจ้งไปยังผู้จัดทำว่า ชื่อตรงนี้ตกไปนะ ช่วยแก้ไขให้หน่อย หลังจากนั้นก็รอสารานุกรมรุ่นต่อไป ( ในกรณีที่เป็นหนังสือ ) หรือรอผู้ดูแลระบบมาแก้ไข ( ในกรณีที่เป็นเว็บ ) ข้อมูลจึงจะถูกต้อง แต่ถ้าเป็น Wikipedia สิ่งที่ผมต้องทำมีเพียงแค่กดปุ่ม Edit หน้าของแมลงเต่าทอง แก้ไขชื่อให้ถูกต้อง แล้วสั่งเซฟ แค่นี้ผู้ที่มาอ่านหน้านั้นหลังจากที่แก้ ก็จะได้ข้อมูลที่ถูกต้องไปทันที
Wikipedia ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า wiki ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถแก้ไขหรือสร้างหน้าเว็บขึ้นมาใหม่ ผ่านเว็บบราวเซอร์ โดยไม่ต้องยุ่งยากกับการสร้างไฟล์ และการเขียนโค้ด HTML ภาษาของ wiki นั้นเข้าใจได้ง่ายและใกล้เคียงภาษาเขียนมากกว่า HTML เช่น ต้องการสร้างรายการ บน HTML ต้องใช้แทก
  • แต่ถ้าใน wiki ก็เพียงแค่ใส่ * นำหน้าข้อความที่อยากให้แสดงเป็นรายการเท่านั้น เทคโนโลยีนี้เริ่มพัฒนาจาก Portland Pattern Repository บางคนอาจจะสงสัยอีกว่า ถ้าใคร ๆ ก็สามารถแก้ไข Wikipedia ได้ จะมีปัญหากรณีมีมือดีมาแกล้งลบข้อมูลทิ้งหรือไม่ ทาง wiki คิดไว้แล้ว การแก้ไขแต่ละครั้งจะมีการบันทึกเป็น history ไว้ และสามารถกู้กลับได้ทันที ดังรูปที่ 2

    รูปที่ หน้าจอการใช้งาน Wikipedia
    3.5 bloggingคำว่า Blog เป็นคำย่อจากคำว่า Weblog หรือ Web Log ซึ่งเป็นคำที่คิดขึ้นโดย โจร์น บาร์เกอร์ ในปี ค.ศ.1997 และต่อจากนั้นอีก 2 ปีต่อมา ปีเตอร เมอร์โฮลซ์ ซึ่งสร้าง Blog ของตนเอง แล้วตั้งชื่อว่า we blog ทำให้คำว่า Weblog ถูกย่อให้เหลือแค่เพียง Blog และกลายเป็นคำฮิตติดปาก ตั้งแต่นั้นมา
    แต่การเปลี่ยนไอเดียจากกระดานข่าวสู่ Blog นั้น ยังไม่ถือว่าเป็นการประยุกต์ไอเดียเล็ก ๆ มาสร้างธุรกิจใหม่ได้เลยหากไม่มีบริษัทเล็ก ๆ  ผู้ให้บริการจัดทำเว็บไซต์ และมี Blog เป็นของตนเองที่มองเห็นไอเดียเล็ก ๆ นี้จะเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจเหล่านั้นได้อย่างมหาศาล พวกเขาจึงก่อตั้งเว็บไซต์ Blogger.com ขึ้นมาและหวังว่านี่จะเป็นเว็บไซต์ที่ทำเงินได้ ซึ่งสุดท้าย ฝันก็เป็นจริง เมื่อวันหนึ่งเว็บ Blogger.com ของพวกเขาได้รับคำเสนอซื้อจากยักษ์ใหญ่แห่งวงการเสิร์จเอ็น จิ้นอย่าง Google.com ด้วยมูลค่าที่ใคร ๆ คาดไม่ถึง
    เนื้อหาใน blog นั้นประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.หัวข้อ
    (  title ) 2. เนื้อหา ( Post หรือ Content ) 3.วันที่เขียน
    ( Date )
    3.5.1 วิธีการสร้าง blog 1. การติดตั้งโปรแกรมทำ blog ขึ้นใช้ใน office ตัวอย่างโปรแกรมที่ใช้สร้าง blog เช่น WordPress  b2evolution Nucleus pMachine MyPHPblog Movable Type Geeklog bBlog ( วิธีนี้ตั้งมีเครื่องเว็บเซิร์ฟเวอร์ในการใช้งานเอง อาจทำเป็น Intranet Blog หรือ Intenet Blog  )
    2. การใช้งาน blog ฟรี จากเว็บที่เปิดให้บริการปัจจุบันมีเว็บที่เปิดให้บริการหลายเว็บอาทิ เช่น Blogger.com ( en ) Bloglines.com ( en )  Exteen.com ( th )   Bloggang.com     ( th ) เป็นต้น
    หนาเว็บที่มีการ update บอยๆ และเรียงโครงสราง ตามลําดับเวลา – อันใหมอยูบนสุด – โดยมักมี link ไปยังเว็บอื่นๆ และมีการแสดงขอคิดเห็นสวนตัว
    บล็อกเป็นเทคโนโลยีการแสดงเนื้อหาแบบใหม่ และที่พัฒนามาจากระบบแสดงผล ข่าวประชาสัมพันธ์จนมีขีดความสามารถที่หลากหลายจนเทียบชั้นได้กับระบบบริหารจัดการข้อมูล ( Content Management ) บนเว็บไซต์เลยทีเดียว เพราะบล็อกในปัจจุบันทำได้ตั้งแต่แสดงภาพ แสดงข้อมูลมัลติมีเดีย จัดทำโพลโหวต เพลงประกอบเว็บ ระบบแสดงความคิดเห็น เป็นต้น ซึ่งในการใช้งาน Blogging ผู้ใช้ต้องทำการสมัครสมาชิกเข้าสู่ระบบ มีขั้นตอนดังนี้
    1. ผู้ใช้ทำการสมัครสมาชิกโดยการป้อนชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่านที่จะใช้เข้าสู่ระบบ ดังรูปที่ 3

    รูปที่ 3  หน้าจอการสมัครเข้าใช้งาน Blogging
    2. ทำการกรอกข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการใช้สมัครสมาชิก โดยระบบจะทำการตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ใช้ทำการป้อนเข้าสู่ระบบ
    3. เมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยและทำการเข้าสู่ระบบแล้ว ผู้ใช้จะสามารถทำการสร้าง Blog ของตนเองได้ตามความต้องการ ดังรูปที่  4

    รูปที่ 4 การสร้าง Blog
    3.5.2 ประโยชน์ของ  blog1. ใช้เป็นเครื่องมือสร้างความรู้ การเขียน blog สำหรับบันทึกเรื่องราว  ข่าวสาร  ความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ในสิ่งที่ผู้เล่าสนใจ เป็นการถ่ายทอดสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในสมองลงสู่ตัวหนังสือการเขียนต้องมีอิสระทางความคิดในรูปแบบที่เป็นตัวของตัวเอง จะช่วยอำนวยให้การดึงเอาความรู้ฝังลึกถูกแสดงออกมาได้โดยไม่ยากนักน็ และการเขียน blog อยู่เป็นประจำก็จะสามารถนำมาสู่การสร้างขุมความรู้  ( Knowledge  Assets ) อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ การเก็บรวบรวมและการแก้ไขหรือเพิ่มเติมความรู้ก็ทำได้โดยสะดวก รวดเร็ว
    2. เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ความรู้ โดยหลักการของ blog คือการเผยแพร่เรื่องราวที่ผู้เขียนเขียนไว้บน blog เพื่อแสดงตัวตนของผู้เขียนออกสู่สาธารณชนซึ่งนั่นหมายถึง blog ย่อมมีความสามารถในการสนับสนุนการเข้าถึงความรู้ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ทันทีที่ผู้เขียนมีการเพิ่มเติมหรือแก้ไขความรู้ที่มีอยู่บน blog ไฟล์ RSS ก็จะทำการดึงเอาเนื้อหานั้น ๆ มาใส่ไว้ในไฟล์ด้วยทันที
    3. เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนความรู้ การเขียน blog จะอนุญาตให้ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นต่อความรู้ที่ผู้เขียนถ่ายทอดลงไปใน blog และผู้เขียนได้เขียนโต้ตอบต่อความคิดเห็นนั้น ๆ ในลักษณะของการสนทนาเพื่อหาความแตกฉานในตัวความรู้ ถือได้ว่าเป็นการร่วมกันสกัดความรู้ฝังลึกได้อย่างดี ดังรูปที่ 5

    รูปที่ 5  การแสดงความคิดเห็นการใช้งาน Blogging
    4. เป็นเครื่องมือในการค้นหาความรู้ ผู้ชำนาญการ และชุมชนปฏิบัติ การเขียนและอ่าน blog เป็นวิธีการค้นหาความรู้ ช่วยให้ค้นพบผู้มีความรู้ความชำนาญในด้านต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะโดยการเขียน blog ที่มักอ้างถึง blog อื่น ๆ โดยการโยงลิค์ไปหาบทความหรือบันทึกนั้น ๆ อีกทั้งลิค์ที่ผู้เขียนบรรจุไว้ใน blog ซึ่งอยู่นอกตัวบทความ หรือการร่วมเป็นสมาชิกของ blog ชุมชน
    5. เป็นเครื่องมือในการรวบรวมและแยกแยะประเภทของความรู้ สกัดแก่นความรู้ และสร้างความสัมพันธ์ของความรู้ วิธีการหนึ่งที่ระบบ blog โดยทั่วไปนำมาใช้ในการรวบรวมและแยกประเภทของของบันทึก คือการให้ผู้เขียนระบุหมวดหมู่หรือคีย์เวิร์ดของบันทึกนั้น ๆ ไว้ ซึ่งบันทึกหนึ่ง ๆ อาจมีความเหมาะสมในการแยกหลายหมวดหมู่ ถือเป็นการสกัดแก่นความรู้จากขุมความรู้ โดยที่ตัวผู้เขียนเอง อาจจะดึงเอาคีย์เวิร์ดของชุมชนที่ถูกรวบรวมผู้ใช้หลายคน
    6. เป็นเครื่องมือในการสร้างลำดับความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของความรู้โดยผู้นำเอาความรู้นั้นไปใช้                      สิ่งที่นักปฏิบัติด้านการจัดการความรู้อยากให้เกิดขึ้นภายหลังจากการที่ได้มีการจัดการความรู้ ก็คือ การที่มีผู้อื่นนำเอาความรู้นั้น ๆ ไปใช้ให้เกิดผลและนำผลมาปรับปรุงความรู้เดิมให้เกิดความรู้ตัวใหม่ หรือทำให้ความรู้นั้น ๆ มีความถูกต้องมีหลักฐานที่วัดได้ทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ระบบ blog ประกอบกับเทคโนโลยีในการ พัฒนาเว็ปในปัจจุบัน สามารถสร้างระบบ Rating หรือระบบการจัดลำดับความน่าเชื่อถือ และความถูกต้องของความรู้หนึ่ง ๆ ได้โดยตรงจากผู้อ่าน blog  ซึ่งอาจจะเป็น ผู้ที่ได้นำเอาความรู้นั้นๆ ไปใช้เองอีกด้วย หรือการแสดงสถิติต่างๆของ blog เช่น บันทึกที่ได้รับการแสดงข้อคิด เห็นมากที่สุด หรือ บันทึกที่มีผู้อ่านมากที่สุด ก็สามารถเป็นเครื่องมือพิสูจน์ความน่าเชื่อถือ และความถูกต้องของความรู้ได้ในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน
    7. ใช้เป็นเครื่องมือแสดงรายละเอียดของแก่นความรู้อย่างเป็นระบบซึ่งนักวิทยาศาสตร์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวไว้ว่า "Imagination is more important than knowledge."  การไม่หยุดคิดที่จะวิจัยและพัฒนา เครืองมือเทคโนโลยีเพื่อช่วยสร้างความสมบูรณ์แบบของระบบ การจัดการกับความรู้เป็นสิ่งที่สนับสนุนให้เกิดขึ้นได้ เช่น ในปัจจุบันระบบ blog ถือว่าเป็นเครื่องมือสำหรับเสริมสร้างประสิทธิภาพในการเล่าเรื่อง ซึ่งถือเป็นเทคนิคที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในการจัดการความรู้ แต่เพื่อที่จะสกัดความรู้ฝังลึกที่มีความซับซ้อน การใช้เทคนิคการเล่าเรื่องเพียงอย่างเดียว หรือการร่วมช่วยกันเล่าก็ตาม ก็อาจจะยังไม่สามารถสกัดเอาความรู้ออกมาได้หมด เพราะความสับสน และความไม่มีรูปแบบในตัว ของความรู้เอง ดังนั้น เทคโนโลยีที่น่าจะสามารถช่วยจัดการความรู้ประเภทนี้ได้ ก็เช่น Rule-based reasoning หรือ Fuzzy logic เพื่อ ใช้ในการทำเหมืองความรู้ ( Knowledge mining ) เป็นต้น
    8. เป็นศูนย์ความรู้ขององค์การ เพราะให้พนักงานและบุคลากร แต่ละคนเขียน blog ส่วนตัวไว้ หากพนักงานและบุคลากรท่านนั้นลาออกไป ความรู้ยังคงอยู่ที่องค์กรให้รุ่นน้องศึกษาไปโดยการถ่ายทอด หรือแลกเปลี่ยนความรู้ โดยเฉพาะ  Tacit  Knowledge เขียนออกมาเป็น "เรื่องเล่า"
    3.5.3 การประยุกต์ใช้ blog ให้เหมาะสมกับองค์กรขั้นตอนสำหรับการประยุกต์โดยมีประเด็นที่ต้องสนใจ
    1. ระยะเวลาการใช้งานของบล็อก เพราะผู้ให้บริการในต่างประเทศหลายราย เปิดให้บริการ BLOG แบบเก็บเงิน โดยมีตั้งแต่ชนิดที่ให้ใช้บริการฟรีเป็นระยะเวลา หลังจากหมดระยะเวลาฟรีก็จำเป็นต้องจ่ายค่าเช่าพื้นที่ หรือบางรายใช้วิธีเก็บตามจำนวนผู้เข้าชม หากเข้าชมมากถึงเกณฑ์ก็ต้องเสียค่าบริการ แต่อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าเราต้องการสร้างบล็อกที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลเงินที่ต้องลงทุน ดังนั้น บล็อกฟรีเท่านั้นคือ คำตอบ ซึ่งผู้ให้บริการฟรีมีมากมาย เช่น MSN, Blogger, Sanook! BLOG, EXTEENBLOG เป็นต้น
    2. ความสะดวกในการใช้งานควรคำนึงถึงความสะดวกทั้งผู้สร้างและผู้ชม เนื่องจากบล็อกส่วนใหญ่มีการอัพเดตบ่อย ๆ  ผู้สร้างบางรายอัพเดตข้อมูลทุกวัน ดังนั้น หากใช้งานยากหรือกว่าจะล็อกอินเข้าในงานได้ต้องเสียเวลานานก็คงไม่เหมาะสมที่จะเลือกใช้
    นอกจากนี้ ยังต้องมองในมุมของผู้ชมด้วยเช่นกัน หากผู้ให้บริการบล็อกเป็นผู้ให้บริการรายเล็ก มีแบนด์วิดธ์ของเซิร์ฟเวอร์ต่ำ การเรียกหน้าเว็บจะทำได้ช้า ส่งผลต่ออารมณ์ผู้ชมบล็อกของเราด้วย ดังนั้น สำหรับคนไทยทางเลือกที่เหมาะสมจริงๆ ควรจะเป็นบล็อกจากผู้ให้บริการในประเทศ เพราะนอกจากเรื่องความเร็วที่ใช้แบนด์วิดธ์ภายในประเทศแล้วยังมีเรื่องของภาษาที่ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้นด้วย
    3. การปรับแต่งบล็อก แน่นอนว่าระบบการให้บริการบล็อกส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมสำเร็จรูป ดังนั้น หน้าตาของบล็อกจึงดูคล้ายๆ กัน แต่หากเราเลือกผู้ให้บริการบล็อกที่มีระบบปรับแต่งได้อย่างไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสี เลือกธีม เลือกลาย เลือกฉากพื้นหลังเลือกตำแหน่งการ จัดวางเนื้อหาได้อย่างน้อยก็ช่วยให้บล็อกของเราสวยงามแตกต่างจากผู้อื่น
    4. ฟังก์ชั่นอื่น ๆ พิเศษเพิ่มเติม ผู้ให้บริการบล็อกส่วนใหญ่จะมีฟังก์ชั่นมาตรฐาน เช่น อัลบั้มแสดงรูป ระบบปฎิทิน เป็นต้น แต่ในส่วนของฟังก์ชั่นพิเศษต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เราไม่จำเป็นต้องไปหาผู้ให้บริการรายอื่นนั้นมีให้เลือกมากน้อยเพียงใด อาทิ ระบบจัดทำแบบสำรวจ ระบบปฎิทินเตือนความจำ ระบบกำหนด การแสดงผลข้อมูลล่วงหน้า ระบบเตือนผู้ตอบข้อความในบล็อก เป็นต้น สิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่ฟังก์ชั่นสำคัญ แต่หากเลือกผู้ให้บริการที่มีฟังก์ชั่นพิเศษมากกว่าได้ย่อมเป็นคำตอบที่ดีกว่า
    3.5.4 หลักการเขียนบล็อก1. เมื่อมีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นในบล็อก ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบันทึก ข้อมูลเจ้าของบล็อก หรือ ลิงค์ต่างๆ ก็ตาม เจ้าของบล็อกควรแก้ไขและแจ้งให้ผู้อ่านทราบโดยทันที
    2. เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในบันทึก ให้รักษาข้อความเดิมไว้จะทำการขีดฆ่าข้อความนั้นเสีย ( โดย กด ABC ที่มีขีดกลางทับที่แผงเครื่องมือการเขียนบันทึก ) แล้วแสดงข้อความใหม่ตามข้อความเดิมนั้น ๆ
     3. ห้ามลบทิ้งบันทึกที่เขียนไว้แล้วเด็ดขาด เพราะลิงค์ที่อยู่ของบันทึกจะถูกลบออกไปด้วย และหากมีผู้อื่นอ้างอิงงานเขียนชิ้นนี้อยู่บ้างแล้ว ก็จะไม่สามารถคลิ๊กมายังลิงค์นั้นๆได้ แต่หากเจ้าของบล็อกมีบันทึกที่สร้างขึ้นเพื่อทดสอบการใช้งาน ก็ควรทำการลบบันทึกประเภทนี้ออก
    4. ไม่ควรลบข้อคิดเห็นของผู้อ่าน ยกเว้นข้อคิดเห็น ที่ไม่สุภาพสร้างความปั่นป่วน หรือเป็น spam
    5.ไม่ควรเขียนอ้างอิงถึงข้อพิพาทความไม่ลงรอยใดๆ กับผู้อื่น
    6. เจ้าของบล็อกที่เขียนเกี่ยวเนื่องกับองค์กรที่ทำงาน ไม่ควรเขียนบันทึกใดๆ ที่เป็นการละเมิดสัญญาจ้างงาน
    7. เจ้าของบล็อกควรนำเสนอและแยกแยะประเด็นระหว่าง ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และข้อความโฆษณา ให้ผู้อ่านได้เข้าใจอย่างถูกต้อง
    8. ห้ามนำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จ

    9. หากไม่เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นที่ผู้อ่านเสนอมาในบล็อก เจ้าของบล็อกก็ควรแสดงข้อคิดเห็นตอบกลับโดยความเคารพในข้อคิดเห็นที่แตกต่างกัน โดยไม่นำมาเป็นเรื่องส่วนตัว
    10. เมื่อมีการใช้ข้อความจากที่อื่น ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มา และลิงค์ที่อยู่อย่างชัดเจน
    11. ควรเน้นคุณภาพงานเขียนของทุกบันทึก เช่น ตรวจสอบการสะกดคำก่อนตีพิมพ์บันทึกนั้นๆ ลงในบล็อก
    12. ควรเขียนบันทึกอย่างรอบคอบและถูกต้อง
    13. ควรตอบอีเมลและข้อคิดเห็นที่ได้รับจากผู้อ่านอย่างเหมาะสมและโดยทันที
    14. ควรเขียนบล็อกเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
    3.5.5  การอ่าน  blog ด้วยโปรแกรม RSS Reader โดย BlogExpressในการอ่าน blog นั้นตั้งอาศัยโปรแกรมตัวหนึ่งที่เข้ามามีส่วนร่วมคือ BlogExpress โดยผู้ใช้ติดตั้ง Microsoft.NET Framework Redistrubutable 1.1 และติดตั้งโปรแกรม BlogExpress  ซึ่งง่ายต่อการใช้งานของผู้ใช้ ดังรูปที่ 6
    โดยปกติที่ท่านจะพบเมื่อเขียนบล็อคคือความรู้สึกอยากเขียนอยู่เรื่อย ๆ แต่การเขียนบล็อคที่ดีที่ทำให้บล็อคเป็นที่นิยมนั้นส่วนหนึ่งมาจากการเขียนที่อ้างอิงไปยังบันทึกของผู้เขียนบล็อคท่านอื่น ๆ และแสดงความคิดเห็นต่อบันทึกนั้น ๆ ดังนั้น อาการอีกอย่างที่ท่านจะพบควบคู่กับความรู้สึกในการอยากเขียนบล็อคคือการอยากอ่านบล็อค แต่การอ่านบล็อค ถ้าให้เข้าเว็บบล็อคทีละเว็บทีละเว็บ ก็อาจทำให้ท่านรู้สึกขัดใจไม่ทันใจ ด้วยความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่อาจจะสุดแสนช้า ก็จะยิ่งอาจจะทำให้หงุดหงิดมากยิ่งขึ้นแต่โดยทั่วไปแล้ว มีเทคโนโลยีอย่างหนึ่งที่ควบคู่มากับ บล็อค ซึ่งท่านที่อ่านและเขียนบล็อคควรจะต้องรู้จักกันไว้ คือ RSS ซึ่งย่อมาจาก Really Simple Syndication ซึ่งมีหลายเวอร์ชันด้วยกัน เช่น RSS 0.91, RSS 1.0, RSS 2.0, และ ATOM

  • รูปที่ 6 การใช้งาน BlogExpress
    RSS หรืออาจเรียกว่า Site feed หรือ Feed เฉย ๆ ก็ได้ เป็นไฟล์ในรูปแบบที่คล้ายคลึงกับ HTML เรียกว่า XML ซึ่งรวบรวมเอาข้อมูลที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไว้เป็นชุด ๆ และเป็นลิงค์ที่คลิ้กเข้าไปดูเนื้อหาเต็มๆ ที่อยู่บนเว็ปได้ ลองเปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือ Feed เป็นเหมือนช่องสำนักข่าวโทรทัศน์หนึ่งช่อง (Channel) เช่น ช่อง 9  ช่อง 7  ช่อง 5  ช่อง 3 หรือ ITV เป็นต้น ช่องข่าวแต่ละช่องก็จะมีข่าวด่วนอัพเดตหลาย ๆ ข่าว (Items) ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อข่าวและข่าวที่สรุปๆ นำมาเสนอให้ผู้ชมได้ชมกันโดยทันทีและสั้นกระทัดรัดอีกด้วย เทคโนโลยี RSS มีประโยชน์มากสำหรับทั้งผู้อ่านและเจ้าของเว็ปไซต์หรือเว็ปบล็อคต่างๆ ในแง่ของผู้อ่านนั้น แทนที่จะต้องเข้าไปทีละเว็ปไซต์หรือเว็ปบล็อคเพื่ออ่านข้อมูลข่าวสาร การสมัครรับ Feed จะช่วยประหยัดเวลาและสะดวกในอ่านโดยใช้โปรแกรมหรือเว็ปไซต์ที่กล่าวมาข้างต้น และปลอดภัยคลายกังวลจากจดหมายข่าวขยะต่างๆ ที่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตู้จดหมายเต็มเป็นประจำและนำมาซึ่งไวรัสและหนอนคอมพิวเตอร์ เพราะด้วยการสมัครรับ Feed จากเว็ปไซต์หรือบล็อคที่ผู้อ่านสนใจ ผู้อ่านก็จะสามารถติดตามอ่านข่าวสารที่อัพเดตได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องให้อีเมล์แอดเดรสเพื่อจำใจสมัครรับจดหมายข่าวกับทางเว็ปไซต์ที่อาจจะดูไม่น่าไว้วางใจส่วนประโยชน์ในแง่มุมของเจ้าของเว็ปซึ่งเป็นผู้นำเสนอข้อมูลแก่ผู้อ่านนั้นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการนำเอา RSS มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดในการนำเสนอข้อมูลล่าสุดส่งถึง Desktop ของลูกค้าโดยความฉับไวโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเพียงบทความหรือบันทึกที่อยู่บนบล็อคเท่านั้น ข้อมูลอื่นๆ เช่น ปฏิทินกิจกรรม ข่าวสารของบริษัท เอกสารแนะนำสินค้าใหม่ บทความที่น่าสนใจ เป็นต้นนอกจากนี้ จากปรากฎการณ์อีเมล์ขยะ ( Spam Email ) หรือ ( Junk Email ) ที่มีมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทำให้บริษัทที่ให้บริการฟรีอีเมล์ หรือบริษัทที่มีอีเมล์เซิร์ฟเวอร์ของตนเองจำเป็นต้องใช้โปรแกรมในการสกัดกั้นอีเมล์ขยะเหล่านี้ ซึ่งเซิร์ฟเวอร์จะสกัดเองอัตโนมัติหรือไม่ก็ให้ผู้ใช้เป็นผู้กำหนดการสกัดเองด้วย ด้วยเหตุนี้ อีเมล์ที่ส่งมาที่ผู้ใช้บ่อยๆ อาจจะเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ เช่น จดหมายข่าว ( โดยเฉพาะที่มีการแนบเอกสารมากับอีเมล์นั้นๆ ด้วย ) มักจะถูกเซิร์ฟเวอร์มองว่าเป็นอีเมล์ขยะ หรือผู้ใช้เองมักจะเพิกเฉยไม่อ่านไปเลยและเกิดเป็นพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ ซึ่งทำให้ผู้ใช้พลาดข่าวสารที่สำคัญของบริษัทผู้นำเสนอข้อมูลโดยสิ้นเชิง ดังนั้น จะเห็นได้ชัดว่า แนวโน้มการใช้ Feed แทนอีเมล์เพิ่มมากขึ้นและผู้อ่านมักจะอ่านข้อมูลบน Feed มากกว่าบนอีเมล์ เนื่องด้วยเหตุผลดังกล่าวมา
    4. สรุปเว็บ 2.0 บนอินเทอร์เน็ต บางมุมมองคิดว่าเป็นมาตรฐานใหม่ และบางมุมมองคิดว่าเป็นซอฟต์แวร์รุ่นใหม่จากไมโครซอฟท์ หรือกูเกิ้ล แต่จริงๆแล้ว เว็บ 2.0 ไม่ได้เป็นอะไรใหม่ไปกว่าปัจจุบันแต่มันเป็นยุคสมัยที่เปลี่ยนไปต่างหาก ปัจจุบันเราใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อ เขียนบล็อก แชร์รูป ร่วมเขียน Wiki โพสความเห็นลงในท้ายข่าว หาแหล่งข้อมูลด้วย RSS เพื่อ Feed มาอ่านที่หน้าจอ และกูเกิ้ล จะเห็นได้ว่าวิธีการใช้ชีวิตบนอินเทอร์เน็ตของชาวออนไลน์เริ่มเปลี่ยนไปแล้วพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตดังกล่าวสะท้อนการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี และนี่เป็นที่มาของ เว็บ 2.0 หรือยุคใหม่ของ อินเทอร์เน็ตที่ได้เปลี่ยนการใช้งานของเราไปอย่างสิ้นเชิงพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต กำลังเปลี่ยนไปผู้ใช้ไม่ใช่แค่ผู้อ่านเว็บไซต์อีกต่อไป การมีส่วนร่วมต่อการสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ ความเท่าเทียมกันในการแสดงความคิดเห็น และธุรกิจออนไลน์ที่สร้างรายได้อย่างจริงจังและยั่งยืนกำลังเริ่มขึ้นในยุคที่เรียกว่า เว็บ 2.0 นี่เอง    
    5. เอกสารอ้างอิง[1] สันติ วิริยะรังสฤษฎ์. เว็บ 2.0 โลกในฝันของสังคมออนไหล์. กรุงเทพมหานคร : สยาม เอ็ม แอนด์ บี พับลิชซิ่ง, 2549.
    [2] นายสนุก. ใช้ BLOG สร้างธุรกิจอีคอมเมิร์ซ. กรุงเทพมหานคร : สยาม เอ็ม แอนด์ บี พับลิชซิ่ง, 2549.
    [3] นิธิธัช กิตติวิสาร. Blog  กระแสบนโลกอินเทอร์เน็ท พลิกโฉมการจัดการความรู้ในองค์กร. กรุงเทพมหานคร : สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา, 2548.
    http://www.gotoknow.org/blogs/posts/30081?

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รูปแบบของสื่อหลายมิติในการเรียนการสอนประกอบด้วยอะไรบ้าง


วิเศษศักดิ์ โคตรอาชา (http://www.images.minint.multiply.multiplycontent.com)
       กล่าวว่า สื่อหลายมิติกับการเรียนการสอนจากความสามารถของสื่อหลายมิติที่ช่วยให้ผู้ สืบค้นข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกันได้หลากหลายรูปแบบได้อย่างรวดเร็วนี้เอง ทำให้สถาบันการศึกษาหลายแห่งมีการใช้สื่อหลายมิติในการเรียนการสอนในระดับ ชั้นและวิชาเรียนต่างๆ แล้วในปัจจุบัน
ประโยชน์ของสื่อหลายมิติในการเรียนการสอน
1. เรียกดูความหมายของคำศัพท์ ที่ผู้เรียนยังไม่เข้าใจได้ทันที
2. ขยายความเข้าใจในเนื้อหาบทเรียนด้วยการ
- ดูแผนภาพหรือวาดภาพ
ดูภาพถ่าย ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกจากเครื่องเล่นแผ่นวีดิทัศน์
-  ฟังเสียงคำอธิบายที่เป็นเสียงพูดหรือฟังเสียงดนตรี
3. ใช้สมุดบันทึกที่มีอยู่ในโปรแกรมเพื่อบันทึกใจความสำคัญของบทเรียน
อรจรีย์ ณ ตะกั่วทุ่ง (2545:ไม่ระบุ) กล่าวว่า สื่อหมายมิติเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ผู้รับสามารถ รับข้อมูลสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่มีความสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากรูปแบบหนึ่งไปยังอีกรูปแบบหนึ่งได้ใน ทันทีด้วยความรวดเร็วและเพิ่มความสามารในการบรรจุข้อมูลในลักษณะของภาพ เคลื่อนไหว วีดิทัศน์ ภาพกราฟฟิก ภาพนิ่ง ภาพสามมิติ ภาพถ่าย เสียงพูด เสียงดนตรี เข้าไว้ในเนื้อหาด้วย เพื่อให้ผู้ใช้หรือผู้เรียนสามารถสืบค้นข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกันได้หลาก หลายรูปแบบมากขึ้นกว่าเดิมจากความสามารถของสื่อหลายมิติที่ช่วยให้ผู้ใช้ สามารถสืบค้นข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกันได้หลากหลายรูปแบบได้อย่างรวดเร็วนี้ เอง ปัจจุบันสื่อหลายมิติได้มีการพัฒนาโดยผสมผสานเทคนิคและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไปอย่างรวดเร็วโดยทั่วไปนั้นส่วนใหญ่เป็นการผสมผสานสื่อหลากหลายชนิดและ เชื่อมโยงไปสู่แหล่งข้อมูลอื่นที่น่าสนใจ จนกระทั่งเกิดการค้นหาวิธีและพัฒนาไปสู่แนวทางใหม่ของสื่อหลายมิติ ที่เรียกว่า สื่อหลายมิติแบบปรับตัว หมายถึง ความสัมพันธ์กันระหว่างสื่อหลายมิติกับรูปแบบการเรียนของผู้เรียน ทั้งนี้สื่อหลายมิติที่ได้รับการออกแบบอย่างถูกต้องและเป็นระบบจะช่วยตอบ สนองให้เกิดการเรียนรู้ได้ตามความสามารถและความต้องการของผู้เรียน เป็นการดึงดูดความสนใจของผู้เรียนและสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนแบบราย บุคคลและส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามศักยภาพได้โดยแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบหลักคือ
1. รูปแบบหลัก (Domain Model: DM) เป็นรูปแบบโครงสร้างหลักของข้อมูลสารสนเทศทั้งหมดที่นำเสนอให้แก่ผู้เรียน โดยรูปแบบหลัก (DM) เปรียบ เสมือนคลังของข้อมูลไม่ว่าจะเป็น เนื้อหา ประวัติหรือแฟ้มข้อมูลของผู้เรียน และรูปแบบการนำเสนอข้อมูล เป็นต้น โดยรูปแบบหลัก จะเป็นการออกแบบโครงสร้างของข้อมูลที่นำเสนอที่มีความสัมพันธ์ของการออกแบบ หัวข้อ (Topics) เนื้อหา (Content) และหน้าต่างๆ (Pages) กับการเชื่อมโยงลิงค์ในการนำทาง (Navigation Links) โดยในส่วนของระบบจะประกอบด้วยกลุ่มของโหนด (Node) หรือหน้า (page) ซึ่ง เชื่อมต่อ กัน โดยแต่ละโหนดหรือหน้าจะ บรรจุข้อมูลเนื้อหาซึ่งอาจมีเฉพาะข้อความหรือมีภาพและเสียงประกอบด้วย เป็นต้น ทั้งนี้รูปแบบหลัก (DM) จะให้ความสำคัญกับ การออกแบบโครงสร้างของสื่อหลายมิติที่ เหมาะสมกับความต้องการและลักษณะของผู้เรียนแต่ละคน เพื่อให้ผู้เรียนมีความสะดวกในการค้นหาข้อมูลหรือหัวข้อที่ต้องการ โดยการออกแบบที่ดีควรจะต้องวางโครงสร้างให้มีความสมดุล มีการเชื่อมต่อสัมพันธ์กันระหว่างรายการ (Menu) กับ หน้าเนื้อหาอื่นๆ รวมถึงการเชื่อมโยงไปยังสื่อมัลติมีเดียที่นำเสนอ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ ข้อความ วีดิทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว เสียง ฯลฯ โดยรูปแบบหลักจะเป็นการวางแผนโครงสร้างเพื่อป้องกันอุปสรรคที่จะเกิดต่อผู้ ใช้ เช่น การหลงทางของผู้ใช้ ในขณะเข้าสู่เนื้อหาในจุดร่วม (Node) ต่างๆ เป็นต้น (Lynch and Horton, 1999)
ลักษณะ โครงสร้างของสื่อหลายมิติ โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 แบบ เพื่อการจัดเก็บและเรียกเอาข้อมูลที่ต้องการขึ้นมาได้สะดวกและรวดเร็ว ดังนี้ (Yang and More, 1995)
               1.1 แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured) เป็นแบบที่ไม่มีโครงสร้างความรู้ ผู้เรียนต้องเปิดเข้าไปโดยมีการเชื่อมโยงระหว่างหน้าจอแต่ละเรื่อง มีความยืดหยุ่นสูงสุดของการจัดรวบรวม เป็นการให้ผู้เรียนได้กำหนดความก้าวหน้าและตอบสนองความสำเร็จด้วยตนเอง
               1.2 แบบเป็นลำดับขั้น ( Hierarchical) เป็นการกำหนดการจัดเก็บความรู้เป็นลำดับขั้น มีโครงสร้างเป็นลำดับขั้นแบบต้นไม้ โดยให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าไปทีละขั้นได้ทั้งจากบนลงล่างและจากล่างขึ้นบน โดยมีระบบข้อมูลและรายการคอยบอก
               1.3 แบบเครือข่าย (Network) เป็นการเชื่อมโยงระหว่างจุดร่วมของฐานความรู้ต่างๆ ที่ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ความซับซ้อนของเครือข่ายพึ่งพาความสัมพันธ์ระหว่างจุดร่วมต่างๆ ที่มีอยู่
                การออกแบบโครงสร้างของข้อมูลสารสนเทศที่ดีจะช่วยส่งผลต่อผู้เรียนเพราะ ข้อมูลที่มีอยู่มากมายนั้นต้องอาศัยการเชื่อมโยงเนื้อหา หรือการจัดระเบียบของเนื้อหาให้กับการสืบค้นภายในบทเรียน การจัดระเบียบที่ดีจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้และเกิดประสบการณ์ที่ดีในการ เรียนด้วยในขณะเดียวกันโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมก็ย่อมส่งผลเสียต่อผู้ใช้เช่น กัน
                2. รูปแบบของผู้เรียน (Student Model: SM) เป็นการออกแบบระบบที่ให้ความสำคัญกับรูปแบบการเรียนรู้และคุณลักษณะของผู้ เรียนแต่ละคนที่เหมาะสมกับข้อมูลสารสนเทศและเนื้อหาที่นำเสนอเพื่อการตอบ สนองแบบรายบุคคล ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของสื่อหลายมิติแบบปรับตัว โดยรูปแบบของผู้เรียนอาจแบ่งแยกคุณลักษณะของผู้เรียนออกเป็น ระดับความรู้ความสามารถ รูปแบบการเรียนรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลอ้างอิงของผู้เรียนต่างๆ รวมทั้งการวิเคราะห์วัตถุประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละรายวิชา ทั้งนี้ลักษณะของผู้เรียนแต่ละคนที่แตกต่างกันไปจะส่งผลต่อบุคลิกภาพ พฤติกรรม การรับรู้ การจดจำ การแก้ปัญหา ความสนใจ ดังนั้นการออกแบบสื่อหลายมิติแบบปรับตัวจะให้ความสำคัญกับรูปแบบและ คุณลักษณะของผู้เรียนที่สอดคล้องกับโครงสร้างหลักที่ได้ออกแบบไว้ ซึ่งทำให้ระบบมีความยืดหยุ่นและตรงตามความต้องการของผู้เรียนแต่ละคนได้เป็น อย่างดี ซึ่งแตกต่างจากการออกแบบสื่อหลายมิติโดยทั่วไปที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้ เรียนเป็นรายบุคคล ดังนั้นในการออกแบบสื่อหลายมิติแบบปรับตัว ผู้ออกแบบจึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษารูปแบบการเรียนรู้รวมทั้งพฤติกรรม การแสดงออกของผู้เรียนแต่ละคน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาออกแบบสื่อให้สอดคล้องกับผู้เรียนในแต่ละคนได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้เรียนแต่ละคนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองและมีความสนใจที่ แตกต่างกัน ซึ่ง Robert Sylwester (1995, อ้างถึงใน อรจรีย์ ณ ตะกั่วทุ่ง, 2545) กล่าวไว้ว่า นักเรียนมีสมองที่ออกแบบมาต่างกัน สมองแต่ละคนแตกต่างกัน เช่นเดียวกับลายนิ้วมือและใบหน้า ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจึงได้ศึกษาเกี่ยวกับแบบการเรียนหรือวิธีการเรียน รู้ของนักเรียนแบบต่าง ๆ ได้แก่
               Rita Dunn และ Ken Dunn (1987) ได้แบ่งแบบการเรียนของนักเรียนออกเป็น 5 แบบ คือ
                1. นักเรียนที่เรียนรู้ด้วยการฟัง นักเรียนแบบนี้จะรับรู้ข้อมูลได้ดีด้วยการฟังและมักใช้การพูดโต้ตอบมากกว่า การอ่าน ชอบฟังการบรรยาย การเล่าเรื่อง ชอบฟังเพลง และฟังเสียงที่มีระดับเสียงและท่วงทำนองต่างๆ ได้ดี ชอบการอภิปราย พูดคุยกับเพื่อนนักเรียนชอบดูภาพ แผนภูมิ แผนภาพ ออแกไนเซอร์แบบกราฟิกจึงเป็นเครื่องมือสำคัญ นักเรียนกลุ่มนี้ยังเรียนได้ดีจากสี เพราะจะมีความหมายกับพวกเขา
               2. นักเรียนที่เรียนรู้ด้วยการสัมผัส นักเรียนแบบนี้จะรับรู้ข้อมูลได้ดีด้วยการสัมผัส แตะต้อง เช่น การเขียน การวาดภาพ การมีส่วนร่วมในประสบการณ์ตรง หรือประสบการณ์รูปธรรม
               3. นักเรียนที่เรียนรู้ด้วยการเคลื่อนไหว นักเรียนแบบนี้จะรับรู้ข้อมูลได้ดีด้วยการลงมือกระทำและด้วยการเคลื่อนที่ไป มา นักเรียนจึงชอบกิจกรรมที่มีความหมายและสัมพันธ์กับชีวิตจริง
               4. นักเรียนที่เรียนรู้ด้วยการสัมผัสและเคลื่อนไหว นักเรียนแบบนี้ต้องการมีส่วนร่วมในกิจกรรม ชอบกิจกรรมบทบาทสมมติและสถานการณ์จำลอง ชอบเดินไปมาในห้องอย่างอิสระ
               David Kolb (1981) ได้จำแนกแบบการเรียนเป็น 4 แบบ โดยยึดหลักการเรียนรู้อิง ประสบการณ์ (Experiential Learning) ได้ดังนี้
               แบบปรับปรุง (Accommodators) บุคคลแบบนี้ชอบลงมือปฏิบัติทดลองสิ่งใหม่ๆ ทำงานได้ดีในสถานการณ์ที่ต้องใช้การปรับตัว ชอบสร้างสรรค์ ลองผิดลองถูก เสี่ยง และมีแนวโน้มที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีการที่ตนนึกคิดเอง ไม่ค่อยเป็นระบบ ชอบการตลาด
               แบบคิดเอกนัย (Converges) บุคคลแบบนี้ต้องการรู้เฉพาะเรื่องที่มีประโยชน์และใช้ได้กับสถานการณ์หนึ่งๆ เท่านั้น มีความสามารถในการจัดรวบรวมและใช้แนวคิดที่เป็นนามธรรมในการปฏิบัติจริงแต่ ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและกำหนดเวลาที่แน่นอน มีความสามารถในการสรุป ชอบทำงานกับวัตถุมากกว่าบุคคล ชอบอ่าน ชอบวิจัย
               แบบดูดซึม (Assimilators) บุคคลแบบนี้ชอบการค้นคว้า อ่าน วิจัย และศึกษาอย่างเจาะลึก มีความอดทน และเพียรพยายามที่จะศึกษาหาข้อมูล ชอบข้อมูลที่เป็นนามธรรม เชื่อว่าตนเองเรียนรู้ได้ดีจากประสบการณ์ที่ผ่านมาและจากผู้เชี่ยวชาญ
               แบบอเนกนัย (Divergers) บุคคลแบบนี้ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมรอบตัวที่สุขสบาย ชอบเรียนรู้จากคนอื่นด้วยการพูดคุยสนทนา ชอบแสวงหาทางเลือกหลาย ๆ ทาง และเรียนรู้เพื่อสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนรวม
               นอกจากรูปแบบการเรียนรู้ที่มีส่วนสำคัญในการออกแบบรูปแบบผู้เรียนในสื่อหลาย มิติแบบปรับตัวแล้ว ในปัจจุบันได้ให้ความสนใจกับ แบบการคิด (Cognitive Style) ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้านการรับรู้ การจำ การคิด ความเข้าใจการแปลงข่าวสาร และการนำข่าวสารไปใช้ประโยชน์ และยังส่งผลต่อบุคลิกภาพ พฤติกรรม การรับรู้ การจำ การแก้ปัญหา ความสนใจ พฤติกรรมทางสังคมและการสร้างมโนทัศน์เกี่ยวกับตัวเอง (Kogan, 1971)
               แบบการคิด (Cognitive Style) มีขอบเขตในการศึกษาได้หลายรูปแบบการคิดที่ได้รับการศึกษาและวิจัยมาเพื่อนำ ไปใช้ในวงการศึกษาและเป็นแบบที่น่าจะมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ คือ แบบการคิดตามทฤษฎีของ วิทกิน และคณะ (Witkin et.al, 1977) ซึ่งได้แบ่งรูปแบบการคิด ของบุคคลโดยตัดสินจากความสามารถของบุคคลที่จะเอาชนะอิทธิพลจากการลวงให้ไขว้ เขวของภาพ ขณะที่บุคคลกำลังพยายามจัดจำแนกสิ่งเร้า ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
                1. ฟิลด์ อินดิเพนเดนท์ (Field Independent) เป็นรูปแบบการคิดของบุคคลที่เป็นอิสระ จากการลวงของภาพที่เป็นพื้นได้มาก สามารถวิเคราะห์จำแนกสิ่งเร้าได้ดี ผู้ที่มีแบบการคิดแบบฟิลด์ อินดิเพนเดนท์จะสามารถเจาะเข้าถึงเนื้อหาส่วนย่อยที่เป็นส่วนประกอบของ เนื้อหาสาระส่วนรวม และเข้าใจด้วยว่าส่วนย่อยนั้นเป็นส่วนที่แยกต่างหากออกมาจากส่วนรวมทั้งหมด อย่างไรและเป็นผู้ที่ สามารถนำระบบโครงสร้างของการแก้ปัญหาขอตนเองไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ ต่างๆ ได้
                2. ฟิลด์ ดิเพนเดนท์ (Field Dependent) เป็นแบบการคิดของบุคคลที่มีลักษณะการคิดวกวน สับสนอันเนื่องมาจากอิทธิพลการลวงของภาพที่เป็นพื้น จนขาดการพินิจพิเคราะห์ในสาระที่ได้รับบุคคลแบบนี้จึงมองสิ่งต่างๆ ในภาพรวมได้ดี บุคคลประเภทที่ฟิลด์ ดิเพนเดนท์จะต้องอาศัยการมองเห็นเนื้อหาสาระที่เป็นส่วนรวมทั้งหมดก่อนเพื่อ เป็นแนวทาง สำหรับทำความเข้าใจเนื้อหาส่วนย่อยซึ่งเป็นส่วนประกอบของส่วนรวมทั้งหมด และจะไม่สามารถ แยกแยะเนื้อหาสาระได้โดยไม่มีบริบทหรือสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วย
                จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่ารูปแบบผู้เรียน (User Model) เป็นการออกแบบระบบที่สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนรู้และแบบการคิด ที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะของผู้เรียนเป็นรายบุคคลซึ่งทำให้สื่อหลายมิติแบบปรับ ตัวมีความยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองผู้เรียนตามความต้องการและระดับความรู้ ได้ ทั้งนี้ในส่วนของการพัฒนาระบบ รูปแบบของผู้เรียน (User Model) จะมีความสามารถในการบันทึกและจดจำผู้เรียน รวมทั้งการปรับระบบให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้และข้อมูลต่างๆของผู้เรียนเมื่อ Login เข้าสู่ระบบ ซึ่งจะทำให้สามารถตอบสนอง ความต้องการของผู้เรียนแต่ละคนอย่างเหมาะสม
                3. รูปแบบการปรับตัว (Adaptive Model: AM) เป็นรูปแบบของความสามารถในการปรับตัวของระบบที่สอดคล้องกับรูปแบบหลัก (Domain Model) และรูปแบบของผู้เรียน (User Model) โดยรูปแบบการปรับตัวเป็นการพัฒนาโปรแกรมหรือระบบที่สามารถนำมาปรับใช้ในสื่อหลายมิติแบบปรับตัวได้ เช่น ภาษา Java หรือ Javascript , XML , SCORM โดยส่วนใหญ่นิยมพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีเว็บเป็นฐาน (Web-Based Instruction) หรือระบบบริหารการเรียนการสอน (Learning Management System-LMS) ภายใต้สภาพแวดล้อมเสมือน (Learning environment) โดยรูปแบบการปรับตัว (AM) สรุปได้ดังนี้ ( วัฒนา นัทธี. 2547)
               3.1 การนำเสนอแบบปรับตัว (adaptive presentation) ซึ่งเป็นแนวคิดสำหรับการปรับเปลี่ยนในระดับเนื้อหา กล่าวคือ ระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียนเพื่อนำเสนอข้อมูล ที่แตกต่างกันออกไป เช่น ผู้เรียนที่มีพื้นฐานมาก่อน ก็จะมีการแสดงเนื้อหาในระดับลึกทำให้ผู้เรียนเข้าใจในรายละเอียดมากยิ่งขึ้น แต่กรณีที่ผู้เรียนไม่มีพื้นฐานมาก่อน ระบบอาจจะเริ่มจากความรู้พื้นฐานของเนื้อหาก่อนแล้วค่อยลงรายละเอียดในภาย หลัง
               3.2 การสนับสนุนการนำทางแบบปรับตัว (adaptive navigation support) เป็น แนวคิดเพื่อช่วยสนับสนุนกันเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาแต่ละหน้า เพื่อให้ผู้เรียนสามารถติดตามเนื้อหาได้โดยไม่หลงทาง จากแนวคิดนี้มีวิธีการสนับสนุนหลายแบบดังนี้
                              3.2.1 การแนะโดยตรง (Direct guidance) เป็นระบบที่ง่ายที่สุด คือ เมื่อผู้เรียนจะไปยังหน้าถัดไป ระบบจะเสนอหน้าถัดไปที่เหมาะสมที่สุดให้กับผู้เรียน และเมื่ออ่านตามลำดับแล้วจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดีที่สุด ทั้งนี้การเสนอหน้าต่อไปนั้นระบบจะพิจารณาจากเป้าหมายที่ ผู้เรียนกำหนด อย่างไรก็ดีวิธีการนี้อาจจะไม่สนับสนุนผู้เรียนในกรณีที่ผู้เรียนไม่เลือก ตามที่ระบบเสนอ
                              3.2.2 การเรียงแบบปรับตัว (Adaptive ordering) เป็นแนวคิดในการจัดเรียงหน้าของเนื้อหาให้เป็นไปตามโมเดลของผู้เรียน เพื่อให้การเชื่อมโยงเป็นไปอย่าง เหมาะสมที่สุด แต่แนวคิดนี้ก็ยังมีปัญหาตรงที่การเรียงลำดับ อาจจะไม่เหมือนกันทุกครั้งทำให้ผู้เรียนเกิดความสับสนได้
                               3.2.3 การซ่อน (Hiding) เป็นแนวคิดที่จะซ่อนหน้าที่ไม่เกี่ยวข้อง เพื่อกันผู้เรียนจากการเข้าไปอ่านในส่วนที่ไม่จำเป็น หรือไม่เกี่ยวข้อง
                               3.2.4 บรรณนิทัศน์ปรับตัว (Adaptive annotation) เป็น แนวคิดที่จะเสริมเนื้อหา เพิ่มเข้าไปเพื่ออธิบายภาพรวมของแต่ละหน้า ทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายก่อนที่จะศึกษาในรายละเอียด ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดของบรรณนิทัศน์ปรับตัว คือ การเปลี่ยนสีของลิงค์ในเบราว์เซอร์ เมื่อลิงค์นั้นเคยถูก เลือกไปแล้ว เพราะการเปลี่ยนสีจะช่วยให้ผู้เรียนไม่ต้องเลือก ลิงค์ซ้ำ แต่ในทางการศึกษานั้นข้อมูลเสริมมากกว่าอาจจำเป็นสำหรับแบบเรียน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจองค์รวมมากขึ้น
การบูรณาการใช้สื่อประสมและสื่อหลายมิติ (http://www.edu.buu.ac.th/journal/Journal%20Edu/Link_Jounal%20edu_18_1_3.pdf)  
กล่าวไว้ว่ากรมวิชาการ (2544, หน้า 6) อธิบายความหมายไว้ว่าหมายถึงการออกแบบสื่อมัลติมีเดียที่
ผู้ออกแบบจะต้องพยายามหาเทคนิควิธีในการนำเสนอข้อมูลซึ่งมีทั้งภาพ เสียง ข้อความ ภาพ
เคลื่อนไหวให้คำแนะนำวิธีใช้และวิธีการควบคุมเส้นทางเดินของโปรแกรมผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
ปัจจุบัน การออกแบบหน้าจอเป็นมาตรฐานสำคัญของสื่อประสมเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้ สำรวจและสืบค้นศึกษาค้นคว้าข้อมูล หรือเลือกใช้ข้อมูลต่างๆจากภาพเคลื่อนไหว กราฟิก และข้อความได้
ผู้ออกแบบจะออกแบบปุ่มหรือข้อความให้เชื่อมโยงไปยังข้อมูลต่างๆได้หลากหลายรูปแบบ ช่วยให้
ผู้เรียนสามารถเลือกใช้ข้อมูล เลือกเส้นทางเดินเพื่อการศึกษาและสืบค้นข้อมูลในบทเรียนได้
ตามต้องการ การออกแบบสื่อลักษณะนี้เรียกว่า สื่อหลายมิติ (Hypermedia)
คำว่า ไฮเปอร์มีเดีย (Hypermedia) เป็นศัพท์ที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติไว้ว่า สื่อหลายมิติซึ่งพัฒนามาจากข้อความหลายมิติ(Hypertext) สื่อ หลายมิติมีการเสนอข้อมูลในลักษณะไม่เป็นเส้นตรงและเพิ่มความสามารถในการ บรรจุข้อมูลในลักษณะของภาพกราฟิกทั้งภาพถ่ายภาพวาดลายเส้นทั้งภาพนิ่งและภาพ แอนิเมชันภาพ 3 มิติ ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ เสียงพูดเสียงดนตรีและเสียงเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆเข้าไว้ในเนื้อหาด้วยเพื่อให้ผู้ ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาในลักษณะต่างๆได้หลายรูปแบบมากขึ้นกว่าแต่ก่อนรวม ถึงการโต้ตอบระหว่างสื่อกับผู้ใช้ด้วยการคลิกที่จุดเชื่อมโยงหลายมิติ” (Hyperlink)
สื่อหลายมิติ หมายถึงซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้องค์ประกอบของข้อความ กราฟิกภาพเคลื่อนไหแบบวีดิทัศน์และเสียง เชื่อมโยงเข้าด้วยกันในวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูล สารสนเทศได้โดยง่ายโดยที่ผู้ใช้เลือกทางเดินตามแนวทางของตนเองซึ่งเป็น ลักษณะพิเศษเฉพาะของรูปแบบการคิดและการจัดการข้อมูลข่าวสาร สื่อหลายมิติช่วยจัดเตรียมสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ที่มีการโต้ตอบแบบมีปฏิ สัมพันธ์และมีการสำรวจวินิจฉัยสอบสวน
 กล่าวไว้ว่าสื่อหลายมิติแบบปรับตัว หมายถึง ความสัมพันธ์กันระหว่างสื่อหลายมติติกับรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งปกติสื่อหลายมิติจะนำเสนอข้อมูลสารสนเทศที่เป็นเนื้อหา ลิงค์ หรืออื่นๆ ที่ออกแบบสำหรับผู้เรียนทุกคน แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้เรียนแต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกันในการรับ ข้อมูลจากสื่อหลายมติ ดังนั้นสื่อหลายมิติแบบปรับตัว จึงเป็นการผสมผสานระหว่างสื่อหลายมติและระบบการสอนที่ฉลาดในการตอบสนองผู้ เรียนแต่ละคน โดยสื่อหลายมติแบบปรับตัวเป็นการพยายามที่จะพัฒนารูปแบบให้สามารถปรับตัวและ ตอบสนองผู้เรียนเป็นรายบุคคล
                “สื่อหลายมิติแบบปรับตัว” (Adaptive Hypermedia) หมาย ถึง ความสัมพันธ์กัน ระหว่างสื่อหลายมิติกับรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน สื่อหลายมิติแบบปรับตัวจึงเป็นการผสมผสานระหว่างสื่อหลายมิติและระบบการสอน ที่ฉลาดในการตอบสนองผู้เรียนแต่ละคน ซึ่งเป็นการพยายามที่จะพัฒนารูปแบบ (Model) ให้สามารถปรับตัวและตอบสนองผู้เรียนเป็นรายบุคคล
สรุป
สื่อหมายมิติเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ผู้รับสามารถ รับข้อมูลสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่มีความสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากรูปแบบหนึ่งไปยังอีกรูปแบบหนึ่งได้ใน ทันทีด้วยความรวดเร็วและเพิ่มความสามารในการบรรจุข้อมูลในลักษณะของภาพ เคลื่อนไหว วีดิทัศน์ ภาพกราฟฟิก ภาพนิ่ง ภาพสามมิติ ภาพถ่าย เสียงพูด เสียงดนตรี เข้าไว้ในเนื้อหาด้วย เพื่อให้ผู้ใช้หรือผู้เรียนสามารถสืบค้นข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกันได้หลาก หลายรูปแบบมากขึ้นกว่าเดิมจากความสามารถของสื่อหลายมิติที่ช่วยให้ผู้ใช้ สามารถสืบค้นข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกันได้หลากหลายรูปแบบได้อย่างรวดเร็วนี้ เอง
เอกสารอ้างอิง
(http://www.images.minint.multiply.multiplycontent.com) 19 กรกฎาคม 2554.
สื่อหลายมิติแบบปรับตัว.รูปแบบของสื่อหลายมิติ.สืบค้นวันที่ 19 กรกฎาคม 2554.
การบูรณาการใช้สื่อประสมและสื่อหลายมิติ.รูปแบบของสื่อหลายมิติ.สืบค้นวันที่ 19 กรกฎาคม 2554.
รูปแบบของสื่อหลายมิติ.สื่อหลายมิติแบบปรับตัว.สืบค้นวันที่ 19 กรกฎาคม 2554.

สื่อการสอนคืออะไรแบ่งเป็นกี่ประเภทอะไรบ้างมีบทบาทในการศึกษาอย่างไรและแต่ละอย่างเป็นอย่างไร

     สื่อการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ ซึ่งถูกนำมาใช้ในการการเรียนการสอน เพื่อเป็นตัวกลางในการนำส่งหรือถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเจตคติ จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน ช่วยให้การเรียนการสอนดำเนินไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ และทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ตั้งไว้
สื่อกับการจัดการเรียนการสอน (http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-13225.html)
กล่าวไว้ว่า  สื่อการสอน หมายถึง สิ่งซึ่งใช้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเจตคติให้แก่ผู้เรียน หรือทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ มนุษย์รู้จักนำเอาสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มาให้เป็นสื่อการสอน ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา ด้วยความเจริญก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ทำให้สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ตลอดจนวิธีการแปลก ๆ ถูกนำมาใช้เป็นสื่อการสอนกันอย่างกว้างขวาง เช่น การใช้โทรทัศน์เพื่อการศึกษาทั้งในระบบวงจรปิด และในระบบทางไกล หรือการใช้ชุดการสอนเพื่อการเรียนรู้เป็นรายบุคคล เป็นต้น
เทคโนโลยีเหมาะสมเศรษฐกิจพอเพียง (http://pineapple-eyes.snru.ac.th/stm/index.php?q=node/107) กล่าวไว้ว่า นักวิชาการในวงการเทคโนโลยีทางการศึกษา โสตทัศนศึกษา และวงการการศึกษาได้ให้คำจำกัดความของ สื่อการสอนไว้อย่างหลากหลาย เช่น
         ชอร์ส กล่าวว่า เครื่องมือที่ช่วยสื่อความหมายจัดขึ้นโดยครูและนักเรียนเพื่อส่งเสริมการ เรียนรู้ เครื่องมือการสอนทุกชนิดจัดเป็นสื่อการสอน เช่นหนังสือในห้องสมุด โสตทัศนวัสดุต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สไลด์ ฟิล์มสตริป รูปภาพแผนที่ ของจริง และทรัพยากรจากแหล่งชุมชน
ประเภทของสื่อการสอน
โรเบิร์ต อี. ดี. ดีฟเฟอร์ แบ่งประเภทการสอน ดังนี้
1. วัสดุที่ไม่ต้องฉาย ได้แก่ รูปภาพ แผนภูมิ กราฟ ของจริง ของตัวอย่าง หุ่นจำลอง แผนที่ กระดาษสาธิต ลูกโลก กระดานชอล์ค กระดานนิเทศ กระดานแม่เหล็ก การแสดงบทบาท นิทรรศการ การสาธิต และการทดลองเป็นต้น
2. วัสดุฉายและเครื่องฉาย ได้แก่ สไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพโปร่งใส ภาพทึบ ภาพยนตร์ และเครื่องฉายต่าง ๆ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องฉายสไลด์ และฟิล์มสตริป เครื่องฉายกระจกภาพ เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เครื่องฉายภาพทึบแสง เครื่องฉายภาพจุลทัศน์ เป็นต้น
3. โสตวัสดุและเครื่องมือ ได้แก่ แผ่นเสียง เครื่องเล่นจานเสียง เทป เครื่องบันทึกเสียง เครื่องขยายเสียง และวิทยุ เป็นต้น
การศึกษานอกโรงเรียน (http://www.northeducation.ac.th/elearning/ed_child/chap07/7_31_12.html
กล่าวไว้ว่าประเภทของสื่อ สื่อการสอนแบ่งได้ 3 ประเภทคือ
สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์
                หมาย ถึง สื่อการสอนที่เป็นเครื่องมือ เป็นครุภัณฑ์ ซึ่งได้แก่ เครื่องขยายเสียง เครื่องรับวิทยุ เครื่องบันทึกเทปเสียง เครื่องฉายข้ามศีรษะ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เช่น กระดานหก กระดานดำ กระบะทราย เป็นต้น
สื่อการสอนประเภทวัสดุ
                หมายถึง สื่อการสอนที่มีการสิ้นเปลือง เช่น ชอล์ก ฟิล์ม ภาพถ่าย ภาพยนตร์สไลด์ แผ่นป้าย เป็นต้น
สื่อการสอนประเภทวิธีการหรือกระบวนการ
ได้แก่ การจัดแบบการสาธิต การทดลอง เกม และกิจกรรมต่างๆ การจัดสถานการณ์จำลอง การเล่นบทบาทสมมติ การจัดศูนย์การเรียน รวมถึงกิจกรรมที่ผู้เลี้ยงดูเด็กจัดขึ้นโดยมุ่งเน้น ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งผู้เลี้ยงดูเด็กอาจใช้สื่อประเภทวัสดุและอุปกรณ์มาประกอบ ในวิธี การหรือกระบวนการที่ผู้เลี้ยงดูเด็กจัดก็ได้
กล่าวไว้ว่า ประเภทของสื่อการสอน แบ่งได้ 4 ประเภทคือ
1. สื่อประเภทวัสดุ ได้แก่สไลด์ แผ่นใส เอกสาร ตำรา สารเคมี สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ และคู่มือการฝึกปฏิบัติ
2. สื่อประเภทอุปกรณ์ ได้แก่ของจริง หุ่นจำลอง เครื่องเล่นเทปเสียง เครื่องเล่นวีดิทัศน์ เครื่องฉายแผ่นใส อุปกรณ์และเครื่องมือในห้องปฏิบัติการ
3. สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ ได้แก่การสาธิต การอภิปรายกลุ่ม การฝึกปฏิบัติ การฝึกงาน การจัดนิทรรศการ และสถานการณ์จำลอง
4. สื่อประเภทคอมพิวเตอร์ ได้แก่คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) การนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer presentation) การใช้ Intranet และ Internet เพื่อการสื่อสาร (Electronic mail: E-mail) และการใช้ WWW (World Wide Web)
สรุป
สื่อการสอนคือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ ซึ่งถูกนำมาใช้ในการการเรียนการสอน เพื่อเป็นตัวกลางในการนำส่งหรือถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเจตคติ จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน ช่วยให้การเรียนการสอนดำเนินไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ และทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ตั้งไว้
ประเภทของสื่อการสอน แบ่งได้ 4 ประเภทคือ
1. สื่อประเภทวัสดุ ได้แก่สไลด์ แผ่นใส เอกสาร ตำรา สารเคมี สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ และคู่มือการฝึกปฏิบัติ
2. สื่อประเภทอุปกรณ์ ได้แก่ของจริง หุ่นจำลอง เครื่องเล่นเทปเสียง เครื่องเล่นวีดิทัศน์ เครื่องฉายแผ่นใส อุปกรณ์และเครื่องมือในห้องปฏิบัติการ
3. สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ ได้แก่การสาธิต การอภิปรายกลุ่ม การฝึกปฏิบัติ การฝึกงาน การจัดนิทรรศการ และสถานการณ์จำลอง
4. สื่อประเภทคอมพิวเตอร์ ได้แก่คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) การนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer presentation) การใช้ Intranet และ Internet เพื่อการสื่อสาร (Electronic mail: E-mail) และการใช้ WWW (World Wide Web)
เอกสารอ้างอิง
 http://narissaraenglish.blogspot.com/2007/08/1.html สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2554
เทคโนโลยีเหมาะสมเศรษฐกิจพอเพียง.ความหมายสื่อการสอน.สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2554
สื่อกับการจัดการเรียนการสอน.ความหมายของสื่อการสอน.สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2554
ชุมชนคนพัฒนาสื่อการเรียนการสอน.ประเภทของสื่อการสอน.สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2554